Money Well Spent: Dinner for two

เราเป็นคนที่ไม่ค่อยจะใช้เงินเลี้ยงข้าวคนอื่นเท่าไหร่ ทั้งชีวิตเคยทำอยู่ไม่ถึงสิบครั้ง อาจเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเราไม่ใช่คนมีเงินเยอะ ก็เลยไม่สะดวกใจที่จะจ่ายเงินเพื่อคนอื่น หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าเรากลัวว่าความสัมพันธ์ที่มีอยู่จะหายไปพร้อมกับเงินที่หายไปด้วย

ปีนี้ผู้หญิงที่เรารักกลับบ้านในช่วงวันเกิดเรา ไม่ได้อยู่ด้วยกัน พอคิดว่าจะไปกินข้าวกันล่วงหน้าหรือหลังจากวันเกิดผ่านไปแล้วก็รู้สึกแปลกๆ

ความคิดที่ว่าตัวเองจะต้องตายสักวันหนึ่งหรือคนที่เรารักจะตายไม่เคยมีผลอะไรกับชีวิตเราเลย ไม่สามารถใช้เป็นแรงบันดาลใจอะไรได้ทั้งนั้น จนตอนนี้พอเราคิดว่าผู้หญิงที่เรารักจะหายไปจากชีวิตเราแล้วเรารู้สึกเศร้ามาก ซึ่งกับความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเราว่าเราไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ที่ผ่านมามันเป็น “อย่าทิ้งเราไปเลยนะ” แต่ตอนนี้มันเป็น “อย่าเป็นอะไรไปเลยนะ”

เราคิดว่าพอถึงวันเกิดจะฉลองคนเดียว แต่ก็อยากใช้ข้ออ้างเรื่องวันเกิดเพื่อไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน เป็นการฉลองวันเกิดสองรอบ ร้านที่ตั้งใจจะไปเป็นร้านอาหารอินเดียที่ราคาค่อนข้างสูง คนรักเราเพิ่งออกจากงาน เราก็เลยออกเงินให้ ใช้งบจากที่เราเก็บเอาไว้ไปเที่ยว

ไปถึงร้านร้านไม่เปิดไฟ ไม่มีใครอยู่เลย ทั้งๆ ที่ป้ายหน้าร้านก็ยังเขียนว่าเปิด ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าร้านปิดกิจการกะทันหันจนไม่มีเวลาเปลี่ยนป้าย เดินวนไปวนมาอยู่หน้าร้าน กดโทรศัพท์หาว่าร้านปิดไปแล้วหรอ พอสุดท้ายโทรไปถึงรู้ว่าร้านยังอยู่ดี แต่ไม่มีลูกค้าก็เลยปิดไฟ ปิดแอร์ เพื่อประหยัด

อาหารอร่อยน้อยกว่าเดิม ร้านโทรมลงเยอะ แต่ประทับใจกว่าตอนมาครั้งก่อนๆ ชอบที่คนรักเรากินไก่แทนดอรีและแป้งนานอย่างมีความสุข

ไม่รู้ว่าร้านจะยังอยู่ไปได้อีกนานไหม รู้สึกดีใจที่วันนี้ได้มาที่นี่ ไม่รู้ว่าเราสองคนจะยังมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนานไหมเหมือนกัน

เราว่าเราเข้าใจแล้วว่าทำไมคนรักเราถึงชอบเลี้ยงข้าวเรา ทำไมถึงเอาเงินที่ควรจะกินอาหารได้สองมื้อมาหมดไปกับมื้อเดียวที่ปริมาณเท่าเดิม ความสุขจากการเห็นคนที่อยู่ด้วยได้กินอะไรอร่อยๆ กับการได้กินอาหารหลายมื้อมันไม่เหมือนกัน และยังมีความพอใจบางอย่างจากการเห็นคนคนนั้นกินโดยไม่คิดอะไร ไม่ต้องกังวลว่าค่าอาหารจะออกมาเท่าไหร่

ตอนนี้ก็ยังคงเป็นคนที่ไม่ได้เลี้ยงข้าวใครง่ายๆ แต่ถ้าไม่ลำบากจนเกินไปก็อยากจ่ายเงินให้กับความสัมพันธ์ที่ไม่ได้หามาง่ายๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ

Money Well Spent: HappyFresh

นับตั้งแต่วันนี้อยากจะบันทึกสิ่งที่รู้สึกว่าคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปมากที่สุดของแต่ละเดือนดู เริ่มที่เดือนละอย่างก่อนละกันนะ สิ่งที่คุ้มค่าเงินที่จ่ายไปมากที่สุดประจำเดือนมิถุนายน 2020 ก็คือ HappyFresh บริการช่วยซื้อของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเข้าบ้าน บริการที่ตอนแรกเราไม่คิดจะใช้เลย แต่พอได้ใช้ช่วงเกิดโรคระบาดที่ไม่อยากออกไปไหนมาไหนแล้ว ก็ไม่คิดจะออกไปซื้อของเองอีกเลย

ตอนนี้ HappyFresh สามารถใช้ผ่านแอปมือถือหรือจากหน้าเว็บไซต์ก็ได้ ซึ่งนับว่าสะดวกสำหรับเรามากที่โทรศัพท์จะพังอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยอยากทำอะไรผ่านโทรศัพท์เท่าไหร่ ขั้นตอนการใช้ก็เหมือนซื้อของออนไลน์นั่นแหละ ตอนแรกต้องเลือกร้านก่อน ซื้อแยกจากหลายๆ ที่ไม่ได้ พอเลือกร้านแล้วก็เลือกของที่ต้องการได้เลย เสร็จแล้วระบบก็จะคำนวณเงินให้ นอกจากค่าสินค้าแล้วก็จะมีค่าบริการคิดตามระยะทางซึ่งเริ่มต้นที่ 66 บาท แล้วก็ค่าถุงพลาสติกถ้าเราเลือกรับถุง ขั้นสุดท้ายก็เลือกเวลาที่อยากให้ของมาส่ง แล้วก็รอรับของอยู่ที่บ้าน สามารถเช็คสถานะได้จากเว็บไซต์หรือแอป การจ่ายเงินก็ทำได้ทั้งหักบัตรหรือจ่ายเงินสด

อย่างแรกที่เราชอบสำหรับ HappyFresh ก็คือจริงๆ แล้วมันถูกกว่าการออกไปซื้อของเอง เพราะเราไม่ต้องเสียเงินและเวลาไปกับการเดินทางไปกลับ

อย่างที่สองคือหลังๆ เราไม่ค่อยชอบไปซุปเปอร์เท่าไหร่ คือหลังจากประเทศเรางดใช้ถุงพลาสติกกันเนี่ยบรรดาแม่บ้านพ่อบ้านก็ต้องหันมาใช้ถุงผ้ากัน ทีนี้หลายๆ คนเวลาขึ้นรถส่วนตัวหรือรถเมล์มักจะวางถุงผ้าไว้ที่พื้น ซึ่งพื้นกรุงเทพเนี่ยถือว่าสกปรกมาก มีขี้หมาแทบทุกวันและมีคนเหยียบแทบทุกวัน ก็เลยกลายเป็นว่าแคชเชียร์กลายเป็นที่สกปรกสำหรับเราไปเลย จากตอนแรกที่ต้องระวังแค่ครอบครัวที่เอาลูกไปยืนในรถเข็น ตอนนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจเวลาเห็นคนเอาถุงผ้ามาวางด้วย ก็รู้ว่ามันมีทุกวันแหละ แต่ไม่เห็นด้วยตัวเองก็รู้สึกสบายใจกว่า

อย่างที่สามคือหลังจากเราจ่ายเงินแล้ว HappyFresh จะถามเราว่าถ้าสินค้าที่เราต้องการหมดจะทำยังไง จะให้โทรมาถาม ให้ข้ามไป หรือให้คนเลือกสินค้าตัดสินใจหาของที่ใกล้เคียงกันมาให้แทน ซึ่งเราชอบอย่างสุดท้ายมาก เราไม่ชอบให้โครโทรมาเพราะโทรศัพท์เราลำโพงมันเสีย ถ้าจะคุยจะต้องเสียบหูฟัง เราไม่ชอบใส่หูฟังถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แล้วแบบนี้มันก็เซอร์ไพรส์ดีด้วย บางทีของที่เค้าหามาให้แทนอาจจะถูกใจเรามากกว่าก็ได้ อย่างล่าสุดเราสั่งซีเรียลไมโลไซส์กลางๆ ไปแล้วมันหมด เค้าก็หยิบไซส์ใหญ่กว่าสองเท่ามาให้แทน ซึ่งดีกว่ามาก ปกติเราไม่ชอบซื้อของเยอะๆ แต่ไมโลกล่องใหญ่ที่ได้มานี่ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปไหนหลายวัน ไม่แน่ใจว่าถ้าสมมติไมโลมันหมดทุกขนาดเค้าจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นให้เลยไหม แอบอยากให้เป็นแบบนั้น น่าสนุกดี

อย่างสุดท้ายก็เป็นเรื่องความเซอร์ไพรส์อีกนั่นแหละ เข้าใจว่าราคาสินค้าน่าจะเท่าหรือใกล้เคียงกับในห้าง รวมถึงโปรโมชั่น 1 แถม 1 ต่างๆ ก็จะระบุไว้ด้วย แต่บางทีเว็บก็อัปเดตไม่ทัน ครั้งที่แล้วเราซื้อสบู่เดอร์มาพอนแบบเติมไป 2 ถุง แต่พอได้มาปรากฏได้มา 4 ถุง เพราะมันแถมแต่เว็บไม่ได้บอกไว้ เป็นการซื้อของที่แฮปปี้มากๆ

ข้อเสียอย่างเดียวที่เราเห็นตอนนี้ก็มีแค่เราต้องซื้อให้ถึง 300 บาทเค้าถึงจะมาส่งให้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เราว่ามันแฟร์ดี เพราะค่าส่งก็ถือว่าสมเหตุสมผล อาจจะลำบากไปบ้างสำหรับเวลาจำเป็น อย่างเช่นที่ล่าสุดเราต้องสั่งซื้อเหยื่อกำจัดมดเนื่องจากมดบุกห้องกะทันหันแล้วในเซเว่นไม่มีขาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

สำหรับใครที่ไม่เคยใช้บริการแล้วอยากได้ส่วนลดก็คลิกที่ลิงก์นี้ได้นะ https://app.happyfresh.com/ref/8iKAc คนที่สมัครบริการผ่านลิงก์นี้จะได้เครดิต 200 บาท และเราก็ได้ 200 บาทด้วย เรายังไม่เคยลองว่าเป็นยังไง แต่ถ้ามันมีเงื่อนไขเยอะจนน่าหงุดงิดก็กลับไปคลิกลิงก์ที่ย่อหน้าสองได้ อันนั้นเป็นลิงก์ปกติ

มึงเป็นใครถึงไปสอนคนอื่น? (or What I learned teaching someone something I have no right to teach)

1909389_10153471251308513_1061193578676519566_o

“ตีมือขวาพร้อมกับเท้าขวา แล้วก็มือซ้ายกับมือขวาพร้อมกัน แล้วก็กลับมาตีมือขวาพร้อมกับเท้าขวาอีก วนไปเรื่อยๆ ”

ทันทีที่พูดประโยคข้างบนจบ เรารู้ทันทีว่าเราพบคำตอบบางอย่างแล้ว สองพันกว่าปีที่แล้วใครบางคนพบคำตอบของชีวิตใต้ต้นโพธิ์ แต่วันนี้เราพบคำตอบของตัวเองในห้องซ้อมดนตรีซอมซ่อ ใต้รางรถไฟฟ้า จากการสอนสิ่งที่เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรกเมื่ออาทิตย์ก่อนหน้านี่แหละ

ปีก่อนเราลงเรียนเต้นสวิงจนจบคอร์สระดับสูงสุดที่มีสอน แต่ตอนนี้สกิลการเต้นเรายังไม่ต่างอะไรจากคนที่ไปลองเต้นครั้งแรกเท่าไหร่ ถ้าคนที่เหลือในคลาสเข้าใจทุกอย่างที่ครูสอนและเก่งขึ้นทุกครั้งที่เรียน ปัญหาก็น่าจะอยู่ที่เราจริงมั๊ย?

ปัญหาในการเต้นของเราคือการนับจังหวะ และคนนับสิบที่เราขอให้สอนนับจังหวะให้ ไม่เคยมีใครทำให้เราเข้าใจได้เลย ทุกคนยินดีที่จะสอน และทุกคนก็คิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว แต่จริงๆ แล้วการนับจังหวะกับการสอนให้คนนับจังหวะมันเป็นคนละเรื่องกัน

ตั้งแต่เด็กเราไม่เคยคิดจะสอนอะไรใครไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม การสอนเป็นหน้าที่ของคนที่เก่ง ไม่งั้นจะมีครูไว้ทำไม ไปเรียนภาษาไทยกับป้าขายข้าวแกงก็ได้ เพราะคิดแบบนี้เราเลยไม่เคยสอนการบ้านใคร ก็จะไปสอนได้ยังไง กลับบ้านก็วิ่งไล่จับแมลง ช่วยเจ้าหญิงจากราชาปิศาจ และไปอ่านหนังสือเอาคืนก่อนสอบอยู่เลย

ขณะที่บอกตำแหน่งมือและเท้าที่ต้องใช้ให้เมย์เราถึงเข้าใจ ถ้าเรารอให้ตัวเองเก่งกว่านี้สิ่งแรกที่เราจะสอนเมย์คือชื่อเรียกของอุปกรณ์แต่ละชิ้น และเราจะบอกให้เมย์ทำสิ่งเดียวกันด้วยภาษาที่ต่างออกไป

“ตี Hi-Hat พร้อมกับเหยียบกระเดื่อง แล้วก็ตี Snare กับ Hi-Hat พร้อมกัน แล้วกลับมาตี Hi-Hat พร้อมกับเหยียบกระเดื่องอีก วนไปเรื่อยๆ ”

เมย์ไม่มีทางจะเข้าใจถ้าเราพูดแบบนั้น และเราก็จะไม่เข้าใจว่าทำไมเมย์ถึงไม่เข้าใจเรื่องง่าย

มันเป็นเพราะเราพูดกันคนละภาษา แต่ตอนนี้ที่เราพูดให้เข้าใจได้ เพราะเราพูดภาษาเดียวกัน เป็นมือใหม่เหมือนกัน

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราควรจะสอนใครอาจเป็นตอนที่เรากำลังเรียนรู้นี่แหละ เพราะเราจะเข้าใจว่าคนที่เริ่มจากศูนย์เหมือนกันรู้สึกยังไง การสอนทั้งๆ ที่เรายังไม่เก่งเราอาจทำประโยชน์ได้มากกว่าตอนที่เรารอให้ตัวเองเก่งแล้ว

“ช้าๆ ตีช้าๆ ไม่ต้องรีบ” เราพูดประโยคนี้กับเมย์ในขณะที่เห็นภาพตัวเองพยายามเร่งจังหวะทุกครั้งที่ฝึกตีกลอ

ข้อดีอีกอย่างของการสอนคนอื่นก็คือการได้ทบทวนตัวเอง เราไม่มีทางที่จะสอนคนอื่นได้โดยไม่เห็นตัวเองในนั้น เราไม่มีทางจะไม่รู้สึกอะไรถ้าเราสอนคนอื่นอย่างนึงแต่เราทำอีกอย่างนึง

สุดท้ายแล้วการสอนคือเรื่องของการสื่อสาร จะสื่อสารยังไงให้คนเข้าใจ และเราไม่มีทางที่จะเข้าใจคนอื่นโดยที่เราไม่เคยรู้สึกแบบเดียวกับคนนั้นมาก่อน หรือเราหลงลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว

บางทีถ้าเราลองสัมผัสความหิวดูบ้างเราอาจเข้าใจว่าทำไมประเทศนี้ถึงยังมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และเราอาจจะแค่ยิ้มเวลาประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม บางทีถ้าเราเข้าใจคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ เราอาจจะยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจสร้างรอยยิ้มในตัวคนอื่นได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ปล. ถึงครูสอนว่ายน้ำในชีวิตทุกคนที่พูดว่า “อย่าเกร็ง” ความเกร็งเกิดจากการกลัวว่าจะทำอะไรผิด และการถูกบอกว่าอย่าเกร็งแปลว่าเราทำผิดอยู่ นั่นทำให้ยิ่งเกร็งขึ้นไปอี

ปล.2 วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้คนที่พูดน้อยอยู่แล้วพูดน้อยลงไปอีกก็คือการพูดกับคนๆ นั้นว่า “พูดบ้างก็ได้นะ”

แล้วทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เป็นเหมือนพ่อแม่คนอื่นบ้าง?

IMG_5577

เดือนที่แล้วกลับไปใช้เวลาอยู่ที่บ้านมาหนึ่งอาทิตย์ หลายอย่างทำให้เรามีความสุขอย่างคาดไม่ถึง นั่งมองนกค่อยๆ คาบใบหญ้าสีเขียวทีละเส้น บินกลับไปกลับมาเพื่อสร้างรังใหม่ และคอยลุ้นว่ามันจะโดนกิ้งก่าที่พรางตัวอยู่ไม่ไกลเขมือบมั๊ย ยืนมองงูเลื้อยผ่านเก้าอี้ที่เพิ่งนั่งอ่านหนังสือไป และไม่ได้ตกใจรีบวิ่งไปบอกให้ใครมาจัดการมันเหมือนตอนเด็กๆ งูเลื้อยเข้าใต้ตู้ เข้าไปในห้องน้ำ ปีนขึ้นหลังคา เหมือนจะมาบอกว่าถ้าจะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้ต้องคอยระวังที่ไหนบ้าง เด็ดลูกหว้ามากินและนึกถึงผู้คนในอดีตที่พยายามชวนให้เรากินผลไม้สีม่วงรสหวานปนฝาด หลายคนจากไปแล้ว จากไปก่อนที่เราจะทันได้ห่างเหินกัน หรือทำร้ายกัน ทุกครั้งที่นึกถึงเลยมีแต่ภาพของความสุข แต่ชีวิตไม่ได้ง่ายแบบนั้น เวลาที่กลับไปอยู่หนึ่งอาทิตย์ ไม่มีวันไหนที่พ่อแม่ไม่ขึ้นเสียงใส่กันเลย เรารู้เหมือนที่รู้ว่าถ้าโยนลูกบอลลงพื้นมันน่าจะกลิ้งไปทางไหน เรารู้ว่าถ้าพ่อหรือแม่พูดแบบนี้มันจะนำไปสู่การทะเลาะกัน เรารู้ดีจนไม่ต้องรอให้เกิดการทะเลาะกัน เพียงแค่สักคนพูดประโยคแรกจบ เราก็กลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่อยากหนีออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุด

ตอนเด็กๆ เวลาต้องเขียนความสามารถพิเศษ เรามักจะสับสนไม่รู้จะเขียนอะไร ตอนนี้มองย้อนกลับไปมีสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ดีมาก นั่นคือการทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น วินาทีหนึ่งเราอยู่บนรถ ผ้าเช็ดหน้าชื้นไปด้วยน้ำตา วินาทีถัดมาเราจะเดินไปเข้าแถวข้ามถนน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เราจะบอกใครได้ยังไงว่าปัญหาของเราคืออะไร ในเมื่อเรารู้สึกว่าผู้ที่ควรจะปกป้องเรา ให้คำปรึกษาเรา ไม่เคยอยู่ฝั่งเดียวกับเรา และเพื่อนที่เราสนิทที่สุดก็มีครอบครัวที่อบอุ่นเหลือเกิน เราไม่เคยรู้ว่าการกอดกันในครอบครัวเป็นเรื่องปกติจนได้รู้จักกับเพื่อนคนนี้

ถ้ามีคนที่ทำร้ายเรา เพื่อนแกล้งเรา เราอาจลุกขึ้นสู้กับเพื่อน ฟ้องครู วิ่งไปหาพ่อแม่ แจ้งตำรวจ แต่ถ้าเรารู้สึกว่าสิ่งที่ทำร้ายเราคือครอบครัว เราจะลุกขึ้นสู้กับใคร ฟ้องใคร วิ่งไปหาใคร?

ตอนเด็กๆ ประโยคนึงที่ทำร้ายจิตใจเรามากคือ “ทำไมไม่เป็นเหมือนลูกคนอื่นเค้าบ้าง” และทุกๆ ครั้งเราอยากตอบกลับไปมากจริงๆ ว่า “แล้วทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เป็นเหมือนพ่อแม่คนอื่นบ้าง”

ปัญหาอย่างนึงของสังคมไทยคือเราชอบยกอะไรไว้ในที่สูง ซึ่งไม่สามารถแตะต้อง ไม่สามารถวิจารณ์ได้ และเราก็สร้างประเพณี สร้างวันสำคัญ สร้างพิธีกรรมต่างๆ ขึ้นมา เพื่อยกย่องอะไรแบบนี้ยิ่งขึ้นอีก และยิ่งตอกย้ำว่าถ้าใครสักคนที่เป็นปัญหา มันคือเรา

นักเขียนชื่อ Neil Strauss เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มนึงชื่อ The Truth: An Uncomfortable Book About Relationships เล่าเรื่องราวของการเดินทางแก้ปัญหาความสัมพันธ์ของตัวเอง เข้าสู่สถานบำบัด ปรึกษาจิตแพทย์ ทดลองความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ทำทุกวิธีที่จะค้นหาวิธีแก้ปัญหาของตัวเอง ซึ่งทำให้ต้องกลับไปขุดคุ้ยอดีตตัวเอง และพบว่าปัญหาส่วนใหญ่ในชีวิต ไม่ใช่เฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ มาจากวิธีที่เราถูกเลี้ยงมา มาจากพ่อแม่ของเรา

ในโลกที่สมบูรณ์ พ่อและแม่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และเลี้ยงดูเราอย่างดี เติบโตมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่โลกไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่ว่าสังคมจะพยายามยัดเยียดความคิดให้เราว่าพ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังไง ความจริงก็คือพ่อแม่เป็นมนุษย์ พ่อแม่เลี้ยงดูเราอย่างดีที่สุด ทำดีที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ และทิ้งบาดแผลไว้ให้เรา ความไม่รักตัวเอง เอาแต่ใจ คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ คิดว่าคนอื่นไม่ดีพอ ฯลฯ เสียงในหัวที่บอกนู่นบอกนี่กับเรา ที่เราคิดว่าเราบอกตัวเอง จริงๆ แล้วอาจไม่ใช่เสียงเรา

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเราควรจะโทษพ่อแม่เรา ต่อสิ่งแย่ๆ ในตัวเรา แต่อยู่ที่การยอมรับความจริงให้ได้ว่าทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีในตัวเรา เป็นผลโดยตรงจากวิธีที่เราถูกเลี้ยงดูมา และถ้าเราอยากเติบโตขึ้น อยากมีชีวิตของตัวเอง แทนที่จะใช้ชีวิตตามความต้องการของคนอื่น เราต้องออกจากที่นั่น ปล่อยพ่อแม่เอาไว้อย่างนั้น เค้าทำดีที่สุดแล้ว ถ้ายังโทษคนอื่นต่อไปก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปฏิบัติต่อตัวเอง ให้คำแนะนำตัวเอง ดูแลตัวเอง เหมือนกับที่เราอยากให้พ่อแม่ปฏิบัติกับเรา รับผิดชอบชีวิตตัวเอง รับผิดชอบความสุขของตัวเอง แทนที่จะฝากมันไว้ในมือคนอื่น

ชื่อของคนคนนึงโผล่เข้ามาในไดอารี่ของเราเมื่อสามปีที่แล้ว ปรากฏขึ้นมาครั้งเดียวและหายไป สามปีต่อมาชื่อนี้ปรากฏบ่อยขึ้น ด้วยความรู้สึกที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง เราถามตัวเองว่ามันเป็นแค่ผลข้างเคียงของการตกหลุมรักที่ทำให้เรามองข้ามข้อเสียของใครบางคนไป หรือเราเติบโตขึ้นจนเรียนรู้ที่จะรักใครแบบที่เค้าเป็นได้จริงๆ ยอมรับว่าดอกไม้บางชนิดมาพร้อมกับหนาม แทนที่จะทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เจ็บ แต่ยอมรับจริงๆ ว่านี่คือสิ่งที่มาพร้อมกัน และพร้อมที่จะอยู่กับสิ่งนี้ไปตลอดชีวิต

ถ้าข้อสันนิษฐานของเราถูก การยอมรับพ่อแม่ในแบบที่เค้าเป็นควรจะให้ผลแบบเดียวกัน ถ้าไม่เรียกร้อง และรับผิดชอบต่อความสุขตัวเอง ตอนนั้นต่อให้พ่อแม่ทะเลาะกันไปอีกร้อยปี เราก็ยังคงจะรักพ่อแม่ไปได้อีกร้อยปี โดยที่ไม่ต้องพยายามให้พ่อแม่เป็นเหมือนพ่อแม่คนอื่น

วิดีโอแนะนำความปลอดภัยบนเครื่องบินที่สนุกที่สุด

เพิ่งได้ดูวิดีโอแนะนำความปลอดภัยของสายการบิน Virgin America ซึ่งสำหรับหลายๆ คนครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ดูวิดีโอแบบนี้ก็คือตอนขึ้นเครื่องบินครั้งแรก หลังจากนั้นการหายใจทิ้งมองเก้าอี้ข้างหน้ายังสนุกกว่าดูวิดีโอพวกนี้

https://www.youtube.com/watch?v=DtyfiPIHsIg

วิดีโอแนะนำความปลอดภัยของสายการบิน Virgin America ทำลายความเคยชินว่าช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดบนเครื่องบินไปเลย Virgin ทำให้เรากลับมาดูวิดีโอที่เคยไม่ใส่ใจอีกครั้ง และถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจริงๆ เราก็น่าจะจำอะไรจากวิดีโอที่เราตั้งใจดูเพราะมันสนุกมากกว่าวิดีโอที่โดนบังคับให้ดูเพราะไม่มีอะไรทำและแอร์ที่สาธิตให้ดูก็ไม่สวย

วิดีโออันนี้ทำให้นึกถึงความเชื่อที่ว่าในยุคนี้คนไม่อ่านอะไรยาวๆ กันแล้ว ซึ่งมันเป็นความจริงแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เราเชื่อเหมือนที่มีคนอีกจำนวนนึงเชื่อว่าคนสมัยนี้ไม่ใช่ว่าไม่อ่านอะไรยาวๆ แต่เค้าแค่ไม่อ่านสิ่งที่ไม่น่าสนใจ สิ่งที่น่าเบื่อ ถ้าเป็นเรื่องที่เราสนใจเราพร้อมจะอ่านอะไรเป็นหน้าๆ หนังสือเป็นเล่มๆ เสมอ คนเราแค่มีทางเลือกมากขึ้น

มารยาทเรื่องการไม่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ขณะใช้เวลาอยู่กับคนอื่นควรถูกบรรจุในหลักสูตรการเรียน แต่นี่ก็เป็นโอกาสดีที่ทำให้กลับมาถามตัวเองได้ว่าเราจะทำตัวให้น่าสนใจกว่าโทรศัพท์เครื่องนั้นได้ยังไง หรือจริงๆ การบังคับให้ใครสนใจเราตลอดเวลาก็เหมือนกับการบังคับให้ดูวิดีโอน่าเบื่อๆ บนเครื่องบิน ทั้งการก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ หรือการบังคับให้ใครไม่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่างก็เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว

ผู้คนอ่านหนังสือน้อยลง จากที่หนังสือเคยต้องแข่งกับหนังสือด้วยกันเองตอนนี้กลับต้องแข่งกับ YouTube, Facebook, Smartphone และอะไรอื่นๆ ที่กำลังจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่นี่อาจเป็นโอกาสดีที่สุดในการเป็นนักเขียนหรือทำงานสร้างสรรค์อะไรก็ตาม เพราะโลกเรียกร้องความสามารถ เรียกร้องฝีมือเรามากขึ้น

ถ้าเราเป็น Alfred Hitchcock เราคงไม่ค่อยภูมิใจเท่าไหร่ถ้าหนังเรายังถูกพูดถึงอยู่ทุกวันนี้ แต่ถ้าเดินไปถามคนที่เดินออกจากโรงหนังอาจมีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ที่รู้จัก Psycho เพราะไม่ได้โดนบังคับให้ดูในชั้นเรียนฟิล์ม หรือเป็นนักเขียนที่มีหนังสือที่คนยกย่องแล้วยกย่องอีกแต่สู้ไม่ได้แม้กระทั่งวิดีโอแมวบนอินเทอร์เนต

นี่คือช่วงเวลาที่ดีมากสำหรับการทำงานสร้างสรรค์อะไรก็ตามเพราะถ้าท่ามกลางทางเลือกเป็นล้านอย่างสิ่งที่เราทำยังถูกเลือก เราจะรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ได้เป็นเพราะโชคช่วย มันคือผลงานที่ดีจริงๆ

ขอต้อนรับทุกท่านสู่ความแรนด้อม (และการมองตัวเองผ่านกล้องวงจรปิด)

IMG_3520
รูปจากทางไปห้องน้ำร้าน Happy Bar ถนนข้าวสาร

จริงๆ โพสต์แรกของบล็อกนี้ควรจะเป็น Random Wisdoms รายการพ็อดคาสท์แนวสัมภาษณ์คน ซึ่งเป็นข้ออ้างให้ตัวเองในการออกไปคุยกับคนในเรื่องที่เราสนใจ และทำอีกสิ่งนึงที่จุดประกายเราในบ่ายวันหนึ่งขณะอ่านนิตยสาร Way แต่เพราะความไม่พร้อมหลายอย่างเลยต้องเลื่อนไปก่อน

เรื่องที่อ่านเจอวันนั้นเป็นเรื่องปัญหาของรัฐบาลตอนนั้น (น่าจะเป็นของจอมพลป.) ว่าจะทำยังไงไม่ให้คนจีนแย่งเงินคนไทยไปหมด เพราะคนจีนค้าขายเก่งเหลือเกิน และก็ขยันมากๆ ด้วย ซึ่งคำตอบของรัฐบาลในตอนนั้นคือการยอมรับความจริงข้อนี้และแก้ปัญหาด้วยการทำให้คนจีนเป็นคนไทยซะ ส่งเสริมให้คนจีนแต่งงานกับคนไทย มีลูกหลานเป็นคนไทย และสุดท้ายกลายเป็นคนไทยในที่สุด นี่เป็นวิธีคิดที่ทำให้เราปิดนิตยสารและทบทวนความคิดตัวเอง ว่าเราไม่มีทางคิดได้แบบนี้เลย ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเค้าเก่งจัง ซึ่งที่ผ่านมาเรารู้สึกแบบนี้กับคนไทยไม่มากนัก พอนึกถึงคนเก่งๆ ภาพคนจากโลกตะวันตกก็เข้ามาในหัวมากกว่า พอนึกถึงคนสำคัญๆ ในไทยก็นึกถึงคาบเรียนน่าเบื่อที่ถูกบังคับให้เรียนผลงานของคนนั้น คนนี้ โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าดียังไง คือถูกบังคับให้เรียนกลอนสุนทรภู่ แต่ไม่เคยได้คิดว่าจะเขียนกลอนให้ได้แบบสุนทรภู่หรือดีกว่าได้ยังไง เราเกิดความคิดว่าอยากมีที่ที่รวบรวมความรู้จากคนของเรา บรรพบุรุษของเรา

แต่ว่าสิ่งนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้น ปัญหาของเราคือเราเป็นคนชอบและสนใจอะไรหลายอย่าง เราไม่สามารถอยู่กับอะไรได้นานขนาดนั้น ความคิดที่ว่าจะต้องทำสิ่งเดียวไปทั้งชีวิตทำให้เรารู้สึกอึดอัด เราสนุกกับหลายๆ สิ่ง แล้วก็ขยับไปทำสิ่งต่อไป

หนึ่งในสิ่งที่สนุกก็คือการจดโดเมนเว็บไซต์เป็นชื่อตัวเอง ซึ่งก็จดค้างเอาไว้แบบนั้น ไม่ได้เอาไปทำอะไรจริงๆ เวลามีเรื่องอะไรอยากเขียนก็เขียนลง Facebook หมด มีคนเห็นมากกว่า ง่ายกว่า

แต่เพราะรายการ Random Wisdoms ที่ตั้งใจจะทำอย่างจริงจังในปีนี้ ทำให้ต้องมีพื้นที่สำหรับเขียนที่คนจะย้อนกลับมาดูได้โดยสะดวก ก็เลยบังคับให้ต้องกลับมาทำเว็บ พอคิดว่าเว็บจะเกี่ยวกับอะไร แล้วความรู้สึกอึดอัดก็กลับมาอีก

อาจเป็นเพราะคนที่พบในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาที่ทำให้เราพบว่าเราเจอคนแบบนี้ คนที่เราชอบมากๆ เพราะเราเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้พยายามเป็นคนในแบบที่เราควรเป็น ในเมื่อความเป็นตัวเองพาเรามาสู่จุดนี้ เราก็ไม่น่าจะต้องพยายามเป็นอะไรให้เหนื่อย

ชื่อ pawitsommai.com ที่จดเอาไว้เฉยๆ เลยถูกเอามาใช้ และต่อจากนี้ในบล็อกก็จะเต็มไปด้วยเรื่องที่เราสนใจ ตั้งแต่การชงกาแฟ ทำอาหาร การวาดรูป ท่านั่งส้วมที่ถูกวิธี การพ่นควันบุหรี่เป็นวงกลม นั่งสมาธิ การใช้ชีวิตอย่างป่าเถื่อน ตกหลุมรัก การนอน ความขี้เกียจ ความขยัน หมา และอื่นๆ อีกมากตามแต่ชีวิตจะพาไป

ถ้าจะจัดหมวดหมู่บล็อกนี้ได้อยู่บ้างก็คงเป็น non-fiction คือปกติเราเขียนทั้งเรื่องแต่งและเรื่องจริง ซึ่งเป็นปกติของพวกชอบเพ้อฝันที่ใช้ชีวิตครึ่งนึงอยู่ในจินตนาการ แต่บล็อกนี้จะเขียนแต่เรื่องจริง และตั้งใจให้ทุกสิ่งที่เขียนสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร หรือแรนด้อมแค่ไหนก็ตาม เรื่องเพ้อฝันก็คงจะเขียนต่อไป ในไดอารี่ บน Facebook ผนังห้องน้ำ ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ใช่ที่นี่

และถ้าจะจบโพสต์แรกโดยที่ไม่ทิ้งอะไรให้เอาไว้ใช้ได้เลยก็คงเป็นการทำลายสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่โพสต์แรก และเราจะไม่ทำแบบนั้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามีปัญหามาตลอด เพราะความไม่รักตัวเอง เพราะอะไรหลายอย่างที่ทำให้เราเรียกร้องความรักเอาจากคนอื่น สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาและเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์คือเราเอาความคิดไปปนกับความรู้สึก กับความจริง

เราอาจนัดใครบางคนไว้ แล้วโดนยกเลิกนัด เราโกรธ เพราะเรารู้สึกว่าเค้าไม่ให้ความสำคัญ แต่เค้าไม่ให้ความสำคัญไม่ใช่ความรู้สึก เป็นความคิด เป็นสิ่งที่เราเชื่อ และมันอาจจะไม่จริงก็ได้ ความคิดทำให้เรารู้สึกโกรธ ถ้าเรารู้ว่าเค้ายกเลิกนัดเพราะใครบางคนที่บ้านป่วยหนักและต้องอยู่ดูแล เราก็คงไม่โกรธ จริงมั๊ย?

วิธีที่ดีในการแยกความคิดออกจากความจริงก็คือให้บรรยายสถานการณ์เหมือนกับเราดูจากกล้องวงจรปิด กล้องวงจรปิดจะไม่บอกว่าคนๆ นั้นโกรธเพราะใครบางคนไม่ให้ความสำคัญ กล้องวงจรปิดบอกได้แค่ว่าใครคนนั้นกำลังโกรธ บอกได้แค่ความจริง ถ้าเราเริ่มมองสิ่งที่เกิดขึ้นได้แบบเป็นกลางจริงๆ จากนั้นเราค่อยมาจัดการกับความรู้สึกตัวเองว่าเราเป็นแบบนั้นเพราะอะไร จะเป็นวิธีจัดการกับความรู้สึกที่ดีกว่า เพราะบางทีเราอาจทำร้ายตัวเองและความสัมพันธ์ด้วยเรื่องที่ไม่เคยมีอยู่จริงเลย